
Social Media ช่องทางยอดนิยมแต่มีข้อจำกัด
ปัจจุบันช่องทางการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทยมีความหลากหลาย แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีตัวเลือกในการตัดสินใจ และร้านค้าฝั่งออนไลน์ก็เติบโตมากขึ้น นั่นหมายความว่าคู่แข่งก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
ผลสำรวจของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA พบว่า ผู้บริโภคซื้อของผ่านทาง Social Media 40%, E-marketplace 29%, Online Brand 27% และ Cross Border 4%
เห็นได้ว่าการซื้อขายบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อย่างเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง มีคนสนใจซื้อจำนวนมากและสร้างรายได้ดี แต่ก็ต้องแลกมากับรายจ่ายที่ควบคุมได้ยาก และยังต้องคอยตอบข้อความให้รวดเร็วทันใจตามพฤติกรรมของชาวโซเชียลฯ ด้วย
เมื่อเริ่มเปิดร้านค้าบนเฟซบุ๊ก หากคุณไม่ใช่เน็ตไอดอลหรือคนที่มีแฟน ๆ ติดตามจำนวนมากอยู่แล้ว การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักนับว่าเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แน่นอนว่าคอนเทนต์ที่ดีและดึงดูดคนได้เป็นด่านแรกที่จะทำให้มีผู้เข้าชมร้านค้า แต่อายุเฉลี่ยของคอนเทนต์บนโซเชียลจะอยู่ได้ไม่นานและจะมีเรื่องราวใหม่ๆ มาทดแทนอย่างรวดเร็ว ทำให้การทำโฆษณาเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้
ทางเฟซบุ๊กก็มองเห็นความต้องการของร้านค้ามีการเพิ่มฟังก์ชั่นมาร์เกตเพลสเข้ามา พร้อมเปิดให้ทำการโปรโมทได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีการปรับอัตราค่าโฆษณาอยู่ตลอด แถมบางครั้งยังลดจำนวนผู้ชมลงอีก นั่นหมายความว่าหากต้องการให้คนเห็นจำนวนมากก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ข้อเสียของการอยู่บนพื้นที่ Social Media และ E-marketplace คือเมื่อเกิดปัญหา เราอาจจะไม่สามารถแก้เองได้ทันที ต้องส่งเรื่องไปยังสำนักงานเพื่อรอการแก้ไข และหากคุณโพสต์หรือขายอะไรที่ขัดกับนโยบายเล็กน้อยของทางแพลตฟอร์ม ก็อาจจะโดนแบนหรือถูกปิดบัญชีได้แบบไม่ตั้งตัว
ดังนั้นนอกจากการมีร้านค้าบนแพลตฟอร์มของคนอื่นแล้ว เราจึงจำเป็นต้องหาพื้นที่การขายอื่น ๆ สำรองไว้อีกทางหนึ่งด้วย
เว็บไซต์...มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง
ย้อนกลับไปจากผลสำรวจข้างต้นก็พบว่า การซื้อผ่านเว็บไซต์ก็มีจำนวนไม่น้อย ทำให้การสร้างเว็บไซต์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และมีช่องทางที่จะทำตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพบนโลกออนไลน์
การมีเว็บไซต์จะช่วยให้ผู้คนค้นหาเราได้เจอง่ายขึ้นผ่านทาง Search engine
หากร้านค้ามีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ก็เปรียบเหมือนการมีหน้าร้านบนโลกออนไลน์ ไม่ใช่แค่พื้นที่เช่ารวมเหมือนบน Social Media หรือ E-marketplace ความน่าเชื่อถือก็จะมีมากขึ้น สามารถจัดระเบียบพื้นที่ได้ตามความต้องการ ดูย้อนหลังได้ง่ายและจัดการกับปัญหาได้ทันที รวมถึงคอนเทนต์ที่สร้างไว้ก็จะคงอยู่ระยะยาวเพื่อดึงดูดคนเข้ามาชมเว็บไซต์
การเปิดเว็บไซต์จึงเป็นอีกช่องทางที่จะสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า รวมถึงสร้างความมั่นคงในธุรกิจของคุณในระยะยาวได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก
หน้าร้านออฟไลน์ อีกตัวเลือกเมื่อพร้อม
อีกวิธีที่น่าสนใจคือการเปิดหน้าร้านในช่องทางออฟไลน์ เป็นตัวเลือกที่ทำให้เรามีตัวตน ลูกค้าสามารถมาดูสินค้าได้จริง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้ว่า หากมีปัญหาสามารถติดต่อผู้ขายได้ที่ไหนบ้าง รวมทั้งสามารถจัดโปรโมชั่น Online to Offline ดึงคนจากออนไลน์มาหน้าร้านเพิ่มยอดขายได้
ซึ่งแน่นอนว่า ข้อจำกัดของการมีร้านค้าก็คงไม่พ้นเรื่องของทำเลที่ตั้ง ค่าใช้จ่าย ค่าพนักงาน และเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย และมีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าธุรกิจหรือร้านพร้อมก็เป็นการเพิ่มช่องทางที่น่าสนใจ
สำหรับใครที่กำลังจะเริ่มหรือมีธุรกิจออนไลน์อยู่แล้วอย่าลืมหาช่องทางเพิ่มเติมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็รวดเร็วจนตามไม่ทัน การมีพื้นที่สำรองที่เป็นของเราเองอย่างน้อยก็ทำให้สบายใจได้ในระดับหนึ่งนะครับ
หากคุณสนใจทำเว็บไซต์หรือสร้างหน้าร้านออนไลน์ของตัวเอง สามารถสอบถามรายละเอียดหรือขอคำปรึกษาจากทีมงานมืออาชีพของดีไอทีซีได้ที่ www.ditc.co.th/th/services.html โทรศัพท์ 0 2 596 0500 ต่อ 327